ฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้นำและเป็นศูนย์กลางของความเจริญด้านต่าง ๆ ทั้งในด้านศิลปวิทยาการ การศึกษาและวัฒนธรรม ในยุคภูมิธรรม (The Age ofEnlightenment) ฝรั่งเศสเป็นที่รวมตัวของนักปรัชญาเมธี (philosophes) และการศึกษาปรัชญาการเมืองจนก่อให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องการเมือง สิทธิและเสรีภาพ ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) ใน ค.ศ. ๑๗๘๙ และการเข้ามามีอำนาจของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ หลังจากการพ่ายแพ้ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-PrussianWar ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๘๗๑) ฝรั่งเศสเปลี่ยนการปกครองจากจักรวรรดิเป็นระบอบสาธารณรัฐและถูกกีดกันให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวทางการเมืองระหว่างประเทศเป็นเวลากว่า๒ ทศวรรษ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสเป็นสมรภูมิที่นองเลือดหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสได้สูญเสียอาณานิคมและความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งอีกทั้งต้องเผชิญวิกฤตการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รัฐบาลได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๕ ใน ค.ศ. ๑๙๕๘ ที่ให้อำนาจและหน้าที่แก่ประธานาธิบดีและรัฐบาลมากขึ้นซึ่งยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน
ฝรั่งเศสเป็นดินแดนที่ปรากฏร่องรอยทางโบราณคดีว่ามีมนุษย์อาศัยกว่า๑๐๐,๐๐๐ ปี แล้ว ได้มีการค้นพบภาพเขียนผนังถ้ำจำนวนมากที่เขียนขึ้นในยุคหิน (StoneAge) ในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ส่วนการสร้างวัฒนธรรมที่สลับซับซ้อนเริ่มขึ้นในยุคสัมฤทธิ์ (Bronze Age) ซึ่งอยู่ระหว่าง ๒,๐๐๐-๘๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชในปลายยุคสัมฤทธิ์ พวกฮัลล์ชตัทท์ (Hallstatt) ซึ่งเป็นนักรบและคนเลี้ยงแกะได้อพยพจากเทือกเขาแอลไพน์ (Alpine) เข้าไปอาศัยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสหลังจากนั้น พวกกอล (Gaul) ซึ่งเป็นชนเผ่าเคลต์ (Celt) ก็เข้ารุกรานและกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจและอิทธิพลเหนือชนเผ่าอื่น ๆ พวกกอลได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปตั้งแต่ดินแดนที่เป็นฝรั่งเศส เบลเยียม เยอรมนี จนถึงอิตาลี ตอนเหนือในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ดินแดนดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกในสมัยโบราณว่า “กอล”ด้วย
ใน ๗๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวกรีกได้เข้ามาตั้งอาณานิคมที่มัสซิเลีย[(Massilia) ปัจจุบันคือเมืองมาร์เซย์ (Marseille) ซึ่งเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางอุตสาหกรรม] ทางภาคใต้ของฝรั่งเศสเพื่อใช้เป็นสถานีการค้ากับดินแดนที่อยู่ห่างไกลจากทะเลและนำวัฒนธรรมเมดิเตอร์เรเนียนมาเผยแพร่ ต่อมา ใน ๑๒๑ ปีก่อนคริสต์ศักราช กองทัพโรมันได้เข้ายึดครองเมืองมัสซิเลีย และจัดตั้งชุมชนใหม่ึลกเข้าไปในแผ่นดินที่นาร์บอน (Narbonne) ซึ่งในภายหลังได้เป็นเมืองศูนย์กลางของมณฑลกัลเลียนอร์บอเนนซิส (Gallia Norbonensis) ระหว่าง ๕๘-๕๑ ปีก่อนคริสต์ศักราช จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) แม่ทัพโรมันได้ยาตราทัพเข้ายึดครองดินแดนกอลทั้งหมด และจัดตั้งเมืองลุกดูนัม [(Lugdunum) ปัจจุบันคือเมืองลียง(Lyon) ซึ่งเป็นศูนย์อุตสาหกรรมสิ่งทอ] เป็นศูนย์กลางการบริหารของกอล
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๕ เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มอ่อนแอลง กอลได้ถูกอนารยชนเผ่าเยอรมันกลุ่มต่าง ๆ เข้ารุกราน ต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงใน ค.ศ. ๔๗๖พระเจ้าคลอวิสที่ ๑ (Clovis I) ผู้นำของพวกแฟรงก์ (Frank)ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของชนเผ่าเยอรมันได้อำนาจปกครองกอล พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งเบอร์กันดี (Burgundy) หันมานับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกใน ค.ศ ๔๙๖ และบังคับให้พวกแฟรงก์นับถือคริสต์ศาสนาด้วย การนับถือคริสต์ศาสนาดังกล่าวทำให้พระเจ้าคลอวิสที่ ๑ และราชวงค์เมโรวินเจียน(Merovingian) เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรและได้รับยกย่องว่าทรงเป็น “ดาบของพระเป็นเจ้า”
อย่างไรก็ดี หลังจากพระเจ้าคลอวิสที่ ๑ สวรรคต อาณาจักรแฟรงก์ก็ประสบกับความอ่อนแออันเนื่องมาจากประเพณีการแบ่งแยกดินแดนให้แก่บรรดาพระราชโอรสปกครองและการแย่งชิงอำนาจกัน ในที่สุดอำนาจการปกครองที่แท้จริงตกเป็นของเปแปงแห่งแอร์สตัล (P”pin of Herstal) สมุหราชมนเทียร(Mayor of the Palace) แห่งตระกูลอาร์นุลฟุง (Arnulfung) ซึ่งสามารถแผ่อำนาจเข้าควบคุมการบริหารในส่วนต่าง ๆ ของอาณาจักรแฟรงก์ และทำให้กษัตริย์แห่งราชวงศ์เมโรวินเจียนมีฐานะเป็นเพียงประมุขหุ่นเท่านั้น ต่อมา บุตรหลานของเปแปงแห่งแอร์สตัลได้มีบทบาทสำคัญในการสร้างเกียรติประวัติและความแข็งแกร่งให้แก่ตระกูล โดยใน ค.ศ. ๗๓๒ ชาร์ล มาร์แตล (Charles Martel)บุตรชายมีชัยชนะที่เมืองตูร์ (Tours) ต่อกองทัพของพวกอาหรับ (มุสลิม) ซึ่งเดินทางมาจากคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberia) เพื่อจะยึดครองดินแดนยุโรปตะวันตก ทำให้พวกมุสลิมหมดโอกาสที่จะเข้าครอบครองดินแดนยุโรป ใน ค.ศ. ๗๕๑ เปแปงร่างเตี้ย(P”pin the Short) หลานชายได้ปลดกษัตริย์แห่งราชวงศ์เมโรวินเจียนออกจากบัลลังก์และสันตะปาปาสตีเฟนที่ ๓ (Stephen III) ได้เสด็จมาประกอบพิธีทางศาสนาและประทานเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ ในการสถาปนาเปแปงร่างเตี้ยเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์คาโรลินเจียน (Carolingian) นับแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างสันตะปาปากับกษัตริย์แห่งอาณาจักรแฟรงก์ก็แนบแน่นขึ้นเป็นลำดับ ในวันคริสต์มาสค.ศ. ๘๐๐ สันตะปาปาลีโอที่ ๓ (Leo III) ทรงตอบแทนราชวงศ์คาโรลินเจียนที่ช่วยพิทักษ์และคุ้มครองสำนักสันตะปาปาและสถาบันคริสต์ศาสนามาโดยตลอดด้วยการประกอบพิธีสถาปนาให้พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Charlemagne ค.ศ. ๗๖๘-๘๑๔)พระราชโอรสของพระเจ้าเปแปงที่ ๓ (เปแปงร่างเตี้ย) เป็นจักรพรรดิของชาวโรมัน(Emperor of the Romans) นับเป็นครั้งแรกที่ยุโรปตะวันตกมีจักรพรรดิหลังจากที่ตำแหน่งนี้ได้ว่างเว้นมานับแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเป็นเวลา๓๒๔ ปี
ในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์เลอมาญ วัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของยุโรปได้ฟื้นตัวมากที่สุดนับแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก นอกจากนี้อาณาจักรแฟรงก์ยังมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดด้วย กล่าวคือมีพื้นที่ครอบคลุมยุโรปตะวันตกทั้งหมดตั้งแต่แม่น้ำเอโบร (Ebro) ในสเปน จนถึงแม่น้ำเอลเบ (Elbe) ในดินแดนเยอรมัน แต่หลังจากพระเจ้าชาร์เลอมาญสวรรคตใน ค.ศ. ๘๑๔อาณาจักรแฟรงก์ก็เริ่มอ่อนแอลง ต่อมา สนธิสัญญาแวร์เดิง (Treaty of Verdun) ใน ค.ศ. ๘๔๓ได้แบ่งอาณาจักรแฟรงก์ให้แก่พระราชนัดดาของพระเจ้าชาร์เลอมาญ ๓ พระองค์โดยแต่ละองค์ทรงมีอำนาจสิทธิขาดในดินแดนของตน ชาร์ลพระเศียรล้าน (Charlesthe Bald)พระราชนัดดาพระองค์เล็กได้ครอบครอง “อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก”(Francia Occidentalis) ซึ่งครอบคลุมดินแดนทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโรน (Rhône)แม่น้ำโซน (Saône) แม่น้ำเมิส (Meuse) และแม่น้ำสเกลต์ (Scheldt) หรือดินแดนเกือบทั้งหมดที่เป็นประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน
ใน ค.ศ. ๙๘๗ เมื่อกษัตริย์แห่งราชวงศ์คาโรลินเจียนสิ้นสายลง ฮิว กาเป(Huge Capet)ดุ็กแห่งฝรั่งเศสได้รับเลือกจากบรรดาขุนนางให้เป็นกษัตริย์ และนับเป็นการเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศฝรั่งเศส สมาชิก (ชาย) ของราชวงศ์กาเปได้สืบทอดบัลลังก์ต่อมาเป็นเวลา ๓๔๑ ปี (ค.ศ. ๙๘๗-๑๓๒๘) และสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศสมากขึ้นเป็นลำดับ กษัตริย์แห่งราชวงศ์190 สารานุกรมประเทศในทวีปยุโรป ฉบับราชบัณฑิตยสถานกาเปทรงใช้และขยายพระราชอำนาจและพระราชสิทธิตามระบอบการปกครองแบบฟิวดัลจาก “พระราชอาณาเขตในปกครอง”(royal domain) ใน “อีลเดอฟรองซ์”(Ile de France) อันได้แก่ กรุงปารีส ออร์เลออง (Orl”ans) และปริมณฑลให้กว้างขวางไปยังดินแดนส่วนต่าง ๆ ของฝรั่งเศสด้วย ในรัชสมัยพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ หรือพระเจ้าฟิลิปออกัสตัส (Philip II; Philip Augustus ค.ศ. ๑๑๘๐-๑๒๒๓) กษัตริย์ฝรั่งเศสได้มีบทบาทสำคัญในสงครามครู เสด (Crusades) อีกทั้งได้ขยายพระราช-อาณาเขตในปกครองทั้งในตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ และสามารถใช้พระราชอำนาจตามระบอบการปกครองแบบฟิวดัลเข้ายึดครองแคว้นนอร์มองดี(Normandy) และแคว้นอองชู (Anjou) ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแอนเจวิน (Angevin Empire) ที่อยู่ใต้ปกครองของพระเจ้าจอห์น (John ค.ศ. ๑๑๙๙-๑๒๑๖) แห่งอังกฤษซึ่งทรงมีฐานะเป็นดุ็กแห่งนอร์มองดีและเคานต์แห่งอองชู[โดยนัยนี้กษัตริย์อังกฤษจึงทรงมีฐานะเป็นขุนนางรับใช้ (vassal) ของกษัตริย์ฝรั่งเศสด้วย] นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๒๑๔ ฝรั่งเศสยังสามารถมีชัยชนะต่อกองทัพของอังกฤษและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ในการรบที่บูีวน(Bouvines)อีกด้วย ฝรั่งเศสจึงกลายเป็นมหาอำนาจยุโรปนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ใน ค.ศ. ๑๓๒๘ เมื่อพระเจ้าชาร์ลที่ ๔ (Charles IV ค.ศ. ๑๓๒๒-๑๓๒๘)กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์กาเปสิ้นพระชนม์ลงโดยปราศจากรัชทายาท ราช-บัลลังก์จึงตกเป็นของฟิลิปแห่งวาลัว (Philip of Valois) ซึ่งทรงเฉลิมพระนามเป็นพระเจ้าฟิลิปที่ ๖ (Philip VI ค.ศ. ๑๓๒๘-๑๓๕๐) การขึ้นครองราชสมบัติของพระเจ้าฟิ ลิปที่ ๖ กอปรกับการขัดผลประโยชน์กันระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสที่แคว้นแฟลนเดอส์ (Flanders) ทำให้พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๓ (Edward III ค.ศ. ๑๓๒๗-๑๓๗๗) แห่งอังกฤษทรงอ้างสิทธิในบัลลังก์ฝรั่งเศสในฐานะพระราชนัดดา (หลานตา)ของพระเจ้าฟิลิปที่ ๔ (Philip IV ค.ศ. ๑๒๘๕-๑๓๑๔) และก่อให้เกิด “สงครามร้อยปี”(One Hundred Yearsû War) ระหว่าง ค.ศ. ๑๓๓๗-๑๔๕๓ เมื่อสงครามสิ้นสุดลงอังกฤษได้สูญเสียดินแดนทั้งหมดที่ครอบครองในภาคพื้นทวีปยุโรปยกเว้นเมืองกาเล(Calais) ซึ่งต่อมาใน ค.ศ. ๑๕๕๘ ก็ได้สูญเสียเมืองนี้ให้แก่ฝรั่งเศส แม้สงครามร้อยปีจะสร้างความหายนะทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ฝรั่งเศส แต่ในด้านการเมืองกษัตริย์ฝรั่งเศสกลับมีพระราชอำนาจมากยิ่งขึ้น ทรงเรียกเก็บภาษีอากรได้โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และมีกองทัพประจำการที่ทหารมีเงินเดือนประจำด้วย
ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๙ (Louis IX ค.ศ. ๑๔๖๑-๑๔๘๓) และพระเจ้าชาร์ลที่ ๘ (Charles VIII ค.ศ. ๑๔๘๓-๑๔๙๘) ฝรั่งเศสได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของดัชชีเบอร์กันดี(Duchy of Burgundy) และดัชชีบริตตานี(Duchy ofBrittany) ตามลำดับ ทำให้กษัตริย์ฝรั่งเศสทรงขยายพระราชอำนาจและสถาปนาอำนาจสูงสุดในการปกครองดินแดนต่าง ๆ ทั่วฝรั่งเศสซึ่งมีสถานภาพเป็น “พระราชอาณาเขตในปกครอง”ของพระองค์ได้สำเร็จ
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการรวมดินแดนต่าง ๆ เป็นปึกแผ่นแล้ว เศรษฐกิจของฝรั่งเศสก็เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว และมีการขยายตัวทางด้านการค้าอย่างกว้างขวาง แต่ขณะเดียวกันฝรั่งเศสก็ต้องเผชิญกับความยุ่งยากทางด้านการเมืองและปัญหาทางศาสนา ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปศาสนา(Reformation) ที่เริ่มต้นในดินแดนเยอรมันใน ค.ศ. ๑๕๑๗ และขยายตัวไปยังดินแดนต่าง ๆ ในยุโรป ในปลายทศวรรษ ๑๕๔๐ นิกายกัลแวง (Calvinism) ที่เป็นนิกายหนึ่งของโปรเตสแตนต์ได้เริ่มเข้ามาเผยแผ่ในฝรั่งเศสและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ก่อให้เกิดความแตกแยกทางศาสนาระหว่างผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกกับผู้ที่เปลี่ยนไปนับถือนิกายกัลแวง ซึ่งมีชื่อเรียกว่าพวก “อูเกอโน”(Huguenot) ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวเป็นทั้งเรื่องการเมืองและศาสนา เพราะฝ่ายคาทอลิกไม่พอใจว่าในอนาคตราชบัลลังก์ฝรั่งเศสอาจจะต้องตกเป็นของผู้ที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ในที่สุด ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ได้ทำสงครามศาสนาและสงครามกลางเมืองติดต่อกันกว่า๑๐ ปี ในคืนหนึ่งของเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๕๗๒ ได้เกิดการสังหารหมู่ในวันเซนต์บาร์โทโลมิว (St. Bartholomews Day Massacre) ที่พวกคาทอลิกลอบสังหารพวกอู เกอโนและผู้นำจำนวน ๓,๐๐๐ คนที่มาชุมนุมกันในกรุงปารีสเพื่อร่วมในพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายเฮนรีแห่งนาวาร์ (Henry of Navarre) ผู้นำคนสำคัญของพวกอูเกอโนกับเจ้าหญิงมาร์กาเรต (Margaret)พระขนิษฐาในพระเจ้าชาร์ลที่ ๙(Charles IX ค.ศ ๑๕๖๐-๑๕๗๔) กษัตริย์ของฝรั่งเศสในขณะนั้น
ใน ค.ศ. ๑๕๘๙ หลังจากความวุ่นวายทางสังคมดังกล่าว และการสวรรคตของพระเจ้าเฮนรีที่ ๓ (Henry III ค.ศ. ๑๕๗๔-๑๕๘๙) แห่งราชวงศ์วาลัวโดยปราศจากองค์รัชทายาท พระเจ้าเฮนรีที่ ๓ แห่งนาวาร์ (หรือในอดีตคือเจ้าชายเฮนรีแห่งนาวาร์)พระญาติที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ ๙ ก็ได้รับสิทธิชอบธรรมตามกฎหมายซาลิก (Salic Law) ในการสืบราชสมบัติฝรั่งเศส ทรงมีพระนามว่าพระเจ้าเฮนรีที่ ๔ (Henry IV ค.ศ. ๑๕๘๙-๑๖๑๐) และเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์บูร์บง(Bourbon)พระเจ้าเฮนรีที่ ๔ ทรงประนีประนอมกับฝ่ายคาทอลิกและหันมานับถือนิกายโรมันคาทอลิกตามพระราชธรรมเนียมของกษัตริย์ฝรั่งเศสที่ทุกพระองค์นับแต่พระเจ้าเปแปงที่ ๓ ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกของคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกขณะเดียวกัน ก็ทรงออกพระราชกฤษฎีกาแห่งเมืองนองต์ (Edict of Nantes) ในค.ศ. ๑๕๙๘ เพื่อให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ความเสมอภาคในสังคมและการมีอำนาจทางการทหารในระดับหนึ่งแก่พวกอู เกอโนด้วย ปัญหาความแตกแยกทางศาสนาและสังคมจึงยุติลงได้และทำให้ฝรั่งเศสมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เป็นยุคทองของฝรั่งเศส ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔(Louis XIV ค.ศ. ๑๖๔๓-๑๗๑๕) สถาบันกษัตริย์มีอำนาจสูงสุด วัฒนธรรมฝรั่งเศสซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปกรรมแบบเรอเนซองซ์ (Renaissance) ของอิตาลี ได้พัฒนาและเจริญถึงขีดสูงสุดในฝรั่งเศสด้วย และพระราชวังแวร์ซาย (Versailles) ซึ่งเป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ในชานกรุงปารีสก็เป็นศูนย์กลางของความเจริญ ความรำรวยหร่ ูหราและฟุ่มเฟือยที่สุดในยุโรป ส่วนในด้านการต่างประเทศ พระองค์ก็ทรงสืบทอดนโยบายการขยายอำนาจตามนโยบายของคาร์ดินัลรีเชอลีเยอ (CardinalRichelieu) อัครมหาเสนาบดีในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ (Louis XIII ค.ศ.๑๖๑๐-๑๖๔๓)พระราชบิดา ฝรั่งเศสมีทหารประจำการ ๑๐๐,๐๐๐ คนในยามปรกติและสามารถเรียกระดมพลได้ ๔๐๐,๐๐๐ คนในยามสงครามพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงก่อสงครามสิทธิในพระราชมรดก (War of Devolution ค.ศ. ๑๖๖๗-๑๖๖๘) สงครามรุกรานฮอลแลนด์ (War of the Dutch Invasion ค.ศ. ๑๖๗๒-๑๖๗๘) และสงครามสันนิบาตเอาก์สบูร์ก (War of the League of Augsburg ค.ศ. ๑๖๘๙-๑๖๙๗)เพื่อขยายพรมแดนของฝรั่งเศสเข้าไปในเนเธอร์แลนด์ ของสเปน [(SpanishNetherlands) ปัจจุบันคือประเทศเบลเยียม ] สหมณฑล [(United Provinces) ปัจจุบันคือประเทศเนเธอร์แลนด์ ] และดินแดนเยอรมัน แม้ฝรั่งเศสจะได้ครอบครองดินแดนเพิ่มเติมจากสงครามดังกล่าวนี้ แต่ได้สูญทั้งทรัพย์สินและชีวิตของทหารเป็นจำนวนมาก
ในปลายรัชกาลพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ยังทำสงครามการสืบราชบัลลังก์สเปน (War of the Spanish Succession ค.ศ. ๑๗๐๒-๑๗๑๓) กับมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆเพื่อสนับสนุนให้เจ้าชายฟิลิป เคานต์แห่งอองชู (Philippe, Count of Anjou)พระราชนัดดาซึ่งรับสถาปนาเป็นพระเจ้าฟิลิปที่ ๕ (Philip V) แห่งสเปน ให้ครองราชสมบัติต่อไป สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน ได้สร้างความเสียหายอย่างมหันต์ให้แก่ฝรั่งเศสทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ สงครามสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญายู เทรกต์ (Treaty of Utrecht) ใน ค.ศ. ๑๗๑๔ โดยประเทศคู่สงครามยอมรับให้ราชวงศ์บูร์บงปกครองสเปน ได้ แต่ต้องแยกสาแหรกและอำนาจจากราชวงศ์บูร์บงของฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาด ฝรั่งเศสต้องสูญเสียอาณานิคมบางส่วนในทวีปอเมริกาเหนือให้แก่อังกฤษ และฐานะทางการเงินของรัฐบาลอยู่ในสภาพล้มละลายซึ่งส่งผลกระทบให้รัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ (Louis XV ค.ศ. ๑๗๑๕-๑๗๗๔)ต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นระยะเวลายาวนาน นอกจากนี้ อังกฤษยังกลายเป็นคู่แข่งขันทางการค้าที่สำคัญของฝรั่งเศสและแย่งชิงความยิ่งใหญ่กัน การแข่งขันดังกล่าวได้เป็นสาเหตุของการที่ทั้ง ๒ ประเทศต้องเข้าร่วมในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุโรปอันได้แก่ สงครามการสืบราชบัลลังก์โปแลนด์ (War of thePolish Succession ค.ศ. ๑๗๓๓-๑๗๓๘) สงครามระหว่างอังกฤษกับสเปน (Anglo-Spanish War ค.ศ. ๑๗๓๙) สงครามการสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย (War of theAustrian Succession ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๔๘) และสงครามเจ็ดปี (Seven Yearsû Warค.ศ. ๑๗๕๖-๑๗๖๓) สงครามต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดหนี้สินที่รัฐบาลฝรั่งเศสต้องชดใช้เป็นอันมากและเป็นปัญหาความยุ่งยากทางการคลังที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ (Louis XVI ค.ศ. ๑๗๗๔-๑๗๙๒) ต้องเผชิญในทันทีที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติใน ค.ศ. ๑๗๗๔
อย่างไรก็ดี แม้จะประสบความล้มเหลวในด้านนโยบายการต่างประเทศและการสงคราม แต่ฝรั่งเศสก็ยังคงเป็นประเทศมหาอำนาจที่สุดในภาคพื้นทวีปยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ รสนิยมของชาวฝรั่งเศสในด้านสถาปัตยกรรม เครื่องแต่งกายศาสตร์และศิลป์ ตลอดจนกิิรยามารยาทล้วนแต่เป็นแม่แบบให้แก่โลกตะวันตกนอกจากนี้ ความคิดทางด้านสังคมและการเมืองของนักปรัชญาเมธีในฝรั่งเศส เช่นวอลแตร์ (Voltaire) มงเตสกีเยอ (Montesquieu)ดีเดอโร (Diderot) รูโซ (Rousseau)ตลอดจนนักปรัชญาเมธีอื่น ๆ ในยุคภูมิธรรมก็ยังมีอิทธิพลต่อปัญญาชนทั้งในยุโรปและอเมริกา และโดยเฉพาะชนชั้นกลางชาวฝรั่งเศสให้คิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ
วิกฤตการณ์ด้านการคลังที่เรื้อรังมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน กอปรกับความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนขณะที่ราชสำนักฝรั่งเศสยังคงความหรูหราฟุ่มเฟือยและงานฉลองเลี้ยงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ชาวปารีสไม่พอใจราชสำนักมากขึ้นทั้งนำไปสู่การเปิดประชุมสภาฐานันดรแห่งชาติ(Estates-General)เพื่อหาทางแก้ิวกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ผู้แทนของฐานันดรที่ ๑ และ๒ ซึ่งได้แก่พวกพระและขุนนาง ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุมกับผู้แทนฐานันดรที่ ๓ซึ่งได้แก่ ประชากรส่วนที่เหลือทั้งหมด ผู้แทนฐานันดรที่ ๓ ส่วนใหญ่จึงประกาศตนเป็นสมัชชาแห่งชาติ(National Assembly) และจัดประชุมขึ้นบริเวณสนามเทนนิสโดยกล่าวคำปฏิญญาสนามเทนนิส (Tennis Court Oath) ว่าจะประชุมกันจนกว่าจะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ จึงมีพระราชบัญชาให้ฐานันดรที่ ๑และที่ ๒ เข้าร่วมประชุมด้วยกันและให้ออกเสียงเป็นรายบุคคล แต่ขณะเดียวกันก็ทรงเรียกทหารมาประจำการรอบกรุงปารีสและพระราชวังแวร์ซาย ต่อมาเมื่อเกิดข่าวลือว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ จะใช้กำลังปราบปรามประชาชนและยุบสภา จึงได้เกิดเหตุการณ์การทลายคุกบาสตีย์ (Fall of the Bastille) เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคมค.ศ. ๑๗๘๙ คุกแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการไร้เสรีภาพทางการเมืองของประชาชนและการปกครองแบบกดขี่ของราชวงศ์บูร์บง การทลายคุกบาสตีย์ดังกล่าวจึงนับเป็นเหตุการณ์เริ่มต้นของการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙อีก ๓ วันต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ได้เสด็จนิวัติกรุงปารีสและยอมรับให้เครื่องหมายโบวงกลมสีแดง ขาว และน้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของชาติฝรั่งเศส โดยสีแดงและสีน้ำเงินเป็นสีของกรุงปารีสส่วนสีขาวเป็นสีของดอกลิลลี(Lily)อันเป็นสีประจำของสถาบันกษัตริย์ สีไตรรงค์ดังกล่าวจึงกลายเป็นสีของธงชาติฝรั่งเศสตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๙๔ เป็นต้นมา
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๗๘๙ มีการออกพระราชกฤษฎีกาหลายฉบับที่เรียกว่าพระราชกฤษฎีกาเดือนสิงหาคม (August Decrees) ยกเลิกระบอบการปกครองแบบฟิวดัลและข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของระบอบเก่า ทั้งมีการประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง (Declaration of the Rights of Man and of Citizen) ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของพลเมือง ต่อมาใน ค.ศ. ๑๗๙๐ มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญสงฆ์ (Civil Constitution of the Clergy) เพื่อให้คริสตจักรโรมันคาทอลิกของฝรั่งเศสแยกตัวเป็นอิสระจากกรุงโรมและไม่อยู่ในอำนาจของสันตะปาปาอีกต่อไป ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ไม่ทรงเห็นด้วยกับพระราชบัญญัติธรรมนูญสงฆ์ แต่ก็ต้องทรงจำยอมรับและกลายเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้พระองค์ไม่สามารถร่วมมือกับผู้ก่อการปฏิวัติได้
ใน ค.ศ. ๑๗๙๑ ฝรั่งเศสประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกโดยสถาปนาระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้น แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ไม่ทรงยอมรับและทรงวางแผนให้กองทัพต่างชาติเข้ามาช่วยปราบปรามการปฏิวัติและรื้อฟื้นระบอบการปกครองแบบเก่า ทั้งยังทรงพยายามพาพระราชวงศ์หลบหนีออกจากฝรั่งเศส สภากงวองซิยงแห่งชาติ (National Convention) จึงประกาศล้มเลิกระบอบกษัตริย์และเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๑ (First Republic of France)ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๗๙๒ มีการพิจารณาความผิดพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖พระองค์ถูกพวกปฏิวัติกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศต่อประเทศและทรงถูกตัดสินปลงพระชนม์ด้วยเครื่องกิโยตีนเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ค.ศ. ๑๗๙๓ ส่วนสมเด็จพระราชินีมารี อองตัวแนต (Marie Antoinette) พระราชธิดาในจักรพรรดิฟรานซิสที่ ๑(Francis I ค.ศ. ๑๗๔๕-๑๗๖๕) แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และทรงเป็นสมาชิกของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) ที่ยิ่งใหญ่ของออสเตรีย ก็ทรงประสบชะตากรรมเดียวกันในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ปี เดียวกันนั้น
การลงโทษประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ดังกล่าวนี้ได้สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวฝรั่งเศสเป็นอันมากอีกทั้งยังเป็นเสมือนการท้าทายกษัตริย์องค์ือ่น ๆ ที่ยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ีอกด้วย จึงทำให้สงครามปฏิวัติฝรั่งเศส(French Revolutionary Wars ค.ศ. ๑๗๙๒-๑๘๐๒) ที่ฝรั่งเศสทำกับออสเตรีย ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๗๙๒ ขยายตัวมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการรวมตัวระหว่างมหาอำนาจยุโรปกับนานาประเทศน้อยใหญ่เพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศสซึ่งได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐแล้ว สงครามปฏิวัติฝรั่งเศสได้ดำเนินเป็นเวลา ๑๐ ปีและยุติลงใน ค.ศ. ๑๘๐๒ด้วยชัยชนะของฝรั่งเศส
ระหว่างที่สงครามปฏิวัติฝรั่งเศสดำเนินอยู่นั้น กลุ่มชาโกแบง (Jacobin)หรือมงตาญาร์ (Montagnard) สามารถแย่งชิงอำนาจได้จากกลุ่มชีรงแด็ง (Girondin)ซึ่งเป็นพวกเดินสายกลาง มักซีมีเลียง โรแบสปี แยร์ (Maximilien Robespierre) ซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มชาโกแบงได้ใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองประเทศและกำจัดศัตรูและผู้ต่อต้านการปฏิวัติเป็นจำนวนมาก ตลอดจนออกกฤษฎีกาหลายฉบับเพื่อปกป้องชัยชนะของการปฏิวัติ สังคมฝรั่งเศสจึงปั่นป่วนและหวาดระแวงกันจนเป็นช่วงเวลาที่ได้รับการขนานนามว่า “สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว”(Reign of Terror)อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งในหมู่ผู้นำการปฏิวัติและการสังหารประชาชนจำนวนมากที่ถูกกล่าวหาเป็นศัตรูของการปฏิวัติก็ทำให้โรแบสปี แยร์ในท้ายที่สุดถูกโค่นอำนาจและถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนเช่นเดียวกับศัตรูที่เขากำจัดเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคมค.ศ. ๑๗๙๔ ตรงกับวันที่ ๙ แตร์มีดอร์ (9 Thermidor) ตามปฏิทินสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส(French Revolutionary Calendar) หรือปฏิทินสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๑(Republican Calendar) ซึ่งใช้แทนปฏิทินเกรกอรี
การประหารชีวิตโรแบสปี แยร์นับเป็นการสิ้นสุดสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัวมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. ๑๗๙๕ เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นระบบคณะกรรมการอำนวยการ (Directory ค.ศ. ๑๗๙๕-๑๗๙๙) ซึ่งเป็นรัฐบาลสุดท้ายของยุคการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ เพื่อปกป้องหลักการของการปฏิวัติ แต่คณะกรรมการอำนวยการก็ล้มเหลวในการบริหารประเทศเพราะไม่อาจแก้ิวกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้ ทั้งมีนโยบายเผด็จการ จึงไม่เป็นที่นิยมของประชาชน นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) จึงร่วมมือ
กับเอมมานู เอล-โชแซฟ ซีแยส (Emmanuel-Joseph Sieyes) ผู้บริหารปกครองคนหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการก่อรัฐประหารเดือนบูร์แมร์ (Coup dû EtatBrumaire) เมื่อวันที่ ๙พฤศจิกายน และจัดตั้งการปกครองระบบกงสุล (ConsulateSystem ค.ศ. ๑๗๙๙-๑๘๐๔) ซึ่งเป็นระบบการปกครองแบบคณาธิปไตยภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคมค.ศ. ๑๗๘๙ โดยคณะผู้บริหารประกอบด้วยกงสุล ๓ คนที่มีอำนาจเต็มที่และรับผิดชอบโดยตรงต่อประชาชน นโปเลียนเป็นกงสุลที่ ๑ ซึ่งเป็นประมุขฝ่ายบริหารควบคู่กับเป็นจอมทัพโดยมีวาระ ๑๐ ปี สมัยกงสุลประสบความสำเร็จอย่างมากในการปฏิรูประบบการเงินและการคลังของประเทศและแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งมีการชำระและจัดทำกฎหมายประเภทต่าง ๆ ที่เรียกว่าประมวลกฎหมายนโปเลียน(Code Napoleon) รวมทั้งแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัฐกับศาสนจักรในความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาล ค.ศ. ๑๘๐๑ (Concordat of 1801) ความสำเร็จในการบริหารประเทศและการสร้างสันติภาพด้วยการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพอาเมียง (Treaty of Amiens) กับอังกฤษใน ค.ศ. ๑๘๐๒ยังทำให้นโปเลียนได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้น เมื่อนโปเลียนขอให้มีการลงประชามติล้มระบบกงสุลและสถาปนาระบบจักรวรรดิชาวฝรั่งเศสจึงสนับสนุนเขาอย่างมาก และสภาสูงก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เขาดำรงตำแหน่งจักรพรรดิเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๐๔ ระบบกงสุลจึงสิ้นสุดลงและเป็นการเริ่มต้นของสมัยจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ ๑ (First Empire of France ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๔)
ในรัชสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ฝรั่งเศสได้ก่อสงครามนโปเลียน(Napoleonic Wars ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) กับนานาประเทศหลายครั้งเพื่อขยายอำนาจและอิทธิพลไปทั่วยุโรป ในระยะแรก ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะและสามารถบีบบังคับให้ประเทศมหาอำนาจ คือ ออสเตรีย ปรัสเซีย และรัสเซีย ต้องสงบศึกและลงนามในสนธิสัญญาฉบับต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ฝรั่งเศสอย่างไร
ก็ดี ความปราชัยในการทำสงครามกับอังกฤษ สเปน และโปรตุเกส ในสงครามคาบสมุทร (Peninsular War ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๑๔) และความล้มเหลวในการใช้ระบบภาคพื้นทวีป (Continental System) เพื่อทำลายเศรษฐกิจของอังกฤษได้ทำให้ประเทศที่ต้องตกเป็นพันธมิตรของฝรั่งเศสหันไปร่วมมือกับอังกฤษในการต่อต้านฝรั่งเศส จนในที่สุด ฝรั่งเศสต้องยอมจำนนต่อกองทัพของฝ่ายพันธมิตรที่เดินทัพเข้าสู่กรุงปารีสในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๘๑๔ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ทรงถูกประเทศสหพันธมิตรและวุฒิสภาฝรั่งเศสบังคับให้สละราชย์และถูกเนรเทศไปประทับที่เกาะเอลบา (Elba) จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ ๑ จึงสลายลง
ในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress of Vienna ค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๕)ประเทศมหาอำนาจตกลงให้ฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงขึ้นปกครองฝรั่งเศสอีก โดยมีพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๘ (Louis XVIII ค.ศ. ๑๘๑๕-๑๘๒๔)พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติอย่างไรก็ดี การสืบราชบัลลังก์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๘ จำต้องยุติลงในระยะเวลาอันสั้นเมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ เสด็จหนีออกจากเกาะเอลบาที่ทรงถูกเนรเทศกลับมาปกครองฝรั่งเศสในฐานะจักรพรรดิีอกครั้งในสมัยร้อยวัน (Hundred Days ๒๐ มีนาคม-๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๑๕) ทรงประกาศปกครองประเทศแบบเสรีนิยมและให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนกว้างขวางมากขึ้น ทั้งจะสร้างสันติภาพและความสงบสุขแก่ยุโรป แต่ประเทศสหพันธมิตรซึ่งประกอบด้วย อังกฤษ ปรัสเซีย ออสเตรีย และรัสเซีย ไม่เชื่อพระองค์และรวมกันต่อต้านพระองค์ีอกครั้ง ในยุทธการที่วอเตอร์ลู (Battle of Waterloo) เบลเยียม จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ทรงพ่ายแพ้และทรงถูกบังคับให้สละราชย์ีอกครั้งหนึ่งอังกฤษเนรเทศพระองค์ไปประทับยังเกาะเซนต์เฮเลนา (St. Helena) ในมหาสมุทรแอตแลนติกและทรงถูกควบคุมในฐานะนักโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๘ ทรงได้รับอัญเชิญให้เสด็จกลับมาปกครองฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ.๑๘๑๕ จนถึง ค.ศ. ๑๘๒๔
ในรัชสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ ๑๐ (Charles X ค.ศ. ๑๘๒๔-๑๘๓๐) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์บูร์บงที่ครองบัลลังก์ฝรั่งเศสทรงพยายามฟื้นฟูพระราชอำนาจกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อภิสิทธิ์ ของขุนนางตลอดจนอิทธิพลของคริสตจักรโรมันคาทอลิก แต่ทรงประสบความล้มเหลวในนโยบายดังกล่าวจึงทรงออกพระราชกำหนดแซงกลู (Ordinance of St. Cloud) รวม ๔ ฉบับในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๓๐ยุบสภา เปลี่ยนแปลงกฎหมายการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะสงวนสิทธิ์ ให้แก่เจ้าของที่ดินรายใหญ่ ๆ ที่สนับสนุนพระองค์ กำหนดเกณฑ์การเลือกตั้งใหม่และยกเลิกเสรีภาพของหนังสือพิมพ์พระราชกำหนดทั้ง ๔ ฉบับได้นำไปสู่การเกิดการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม (July Revolution) ค.ศ. ๑๘๓๐ พระเจ้าชาร์ลที่ ๑๐ ทรงถูกบีบบังคับให้สละราชสมบัติและเสด็จหนีออกนอกประเทศไปประทับที่อังกฤษและออสเตรีย ตามลำดับ ดุ็กแห่งออร์เลออง (Duke of Orl”ans) แห่งราชสกุลออร์เลอองซึ่งเกี่ยวเนื่องเป็นพระญาติกับราชวงศ์บูร์บงได้รับอัญเชิญขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าหลุยส์ ฟิลิป (Louis Philppe ค.ศ. ๑๘๓๐-๑๘๔๘)
ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ ฟิลิป อุตสาหกรรมของฝรั่งเศสได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และจำนวนชนชั้นแรงงานก็เพิ่มจำนวนมากเช่นกัน กล่าวคือ ชนชั้นแรงงานมีจำนวนถึง ๙ ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งสิ้น ๓๖ ล้านคน แต่รัฐบาลก็เพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องและสวัสดิการต่าง ๆ ของชนชั้นแรงงาน ในที่สุด ชนชั้นแรงงานได้รวมพลังกันต่อต้านนโยบายเอาใจชนชั้นกลางระดับสูงของพระเจ้าหลุยส์ ฟิลิป แต่กลุ่มที่ต่อต้านพระองค์มากที่สุดได้แก่ พวกที่นิยมราชวงศ์โบนาปาร์ตซึ่งจัดให้มีการประชุมในรูปแบบของงานเลี้ยง (banquets) บังหน้า เพื่อถกเถียงปัญหาทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ได้มีการเรียกร้องให้ปลดฟรองซัว-ปี แยร์-กีโยม กีโซ(Fran“ois-Pierre-Guillaume Guizot) นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง กีโซจึงออกคำสั่งห้ามการชุมนุมจัดงานเลี้ยงอีกต่อไป แต่การสั่งห้ามดังกล่าวก่อให้เกิดการจลาจลขึ้นในกรุงปารีส และลุกลามเป็นการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ (FebruaryRevolution ค.ศ. ๑๘๔๘) และการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๘๔๘ (Revolutions of 1848)ไปทั่วยุโรป พระเจ้าหลุยส์ ฟิลิปทรงลี้ภัยไปพำนักที่อังกฤษ พวกปฏิวัติจึงประกาศล้มล้างระบอบกษัตริย์และจัดตั้งคณะรัฐบาลชั่วคราวของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๒ขึ้น และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ค.ศ. ๑๘๔๘ ปรากฏว่าเจ้าชายหลุยส์ โบนาปาร์ต (Louis Bonaparte) พระภาติยะ (หลานลุง) ของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ทรงได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๒ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
หลังจากได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว เจ้าชายหลุยส์โบนาปาร์ตทรงเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนด้วยการปฏิรูปทางการเมืองและให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น กอปรกับความนิยมของชาวฝรั่งเศสในความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๘๕๑ เจ้าชายหลุยส์โบนาปาร์ตจึงก่อรัฐประหารเพื่อยืดอายุการเป็นประธานาธิบดีจาก ๔ปีออกไปเป็น๑๐ ปี รวมทั้งให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการบริหารทั้งหมด ต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๕๒ พระองค์จัดให้มีการลงประชามติเพื่อยกเลิกสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๒ และให้ฝรั่งเศสกลับไปใช้ระบบการปกครองแบบจักรวรรดิีอกครั้งหนึ่งเป็นจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ ๒ (Second Empire of France ค.ศ. ๑๘๕๒-๑๘๗๐) และสถาปนาพระองค์เป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ (Napoleon III ค.ศ. ๑๘๕๒-๑๘๗๐)
ใน ค.ศ. ๑๘๕๓ ฝรั่งเศสได้ร่วมมือกับอังกฤษในสงครามไครเมีย (CrimeanWar ค.ศ. ๑๘๕๓-๑๘๕๖) เพื่อสกัดกั้นการขยายอำนาจของรัสเซีย ในคาบสมุทรบอลข่านที่จักรวรรดิออตโตมันปกครองอยู่ ซึ่งนับเป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกระหว่างประเทศมหาอำนาจยุโรปหลังจากการว่างเว้นการสงครามเป็นเวลาเกือบ ๔๐ ปีสงครามไครเมียสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส และการทำสนธิสัญญาปารีส (Treaty of Paris) ใน ค.ศ. ๑๘๕๖ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ฝรั่งเศสสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศหลังจากที่ตกตำเป่ ็นเวลานานให้กลับคืนมาอีกทั้งยังทำให้จักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ คิดดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ต้องการเผยแพร่ชื่อเสียงของราชวงศ์โบนาปาร์ตและประเทศฝรั่งเศสต่อไปอีกด้วย
อย่างไรก็ดี การไม่สามารถขัดขวางความพยายามรวมชาติอิตาลี ในปลายทศวรรษ ๑๘๕๐ รวมทั้งความล้มเหลวในการยึดครองเม็กซิโกเพื่อสร้างจักรวรรดิคาทอลิกในโลกใหม่ในต้นทศวรรษ ๑๘๖๐ โดยการสนับสนุนให้อาร์ชดุ็กมักซีมีเลียน(Maximilian) แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก พระอนุชาในจักรพรรดิฟรานซิส โจเซฟ(Francis Joseph ค.ศ. ๑๘๔๘-๑๙๑๖) แห่งออสเตรีย เป็นจักรพรรดิแห่งเม็กซิโกทำให้เกียรติภูมิของประเทศตกต่ำลง นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์ ฝรั่งเศสยังต้องพ่ายแพ้ทางการทูตกับปรัสเซีย หลายครั้ง จักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ทรงถูกออทโทฟอน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck) อัครมหาเสนาบดีแห่งปรัสเซีย ยั่วยุให้ก่อสงครามฝรั่งเศสปรัสเซีย เพราะปรัสเซีย ต้องการสร้างกระแสชาตินิยมและรวมดินแดนเยอรมันทั้งหมดให้เป็นปึกแผ่นโดยมีปรัสเซีย เป็นผู้นำ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ถูกจับตัวเป็นเชลยหลังการปราชัยที่สมรภูมิเมืองเซดอง (Sedan) และต้องประกาศสละราชสมบัติในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๘๗๐ นับเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ ๒ด้วย
อย่างไรก็ดี สงครามก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลาหลายเดือน มีการจัดตั้งรัฐบาลป้องกันชาติ(Government of National Defense) เพื่อต่อสู้กับกองทัพปรัสเซีย ต่อไป กรุงปารีสถูกล้อมเป็นเวลาถึง ๔ เดือนจนเกิดภาวะการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ในที่สุดรัฐบาลป้องกันชาติก็ตัดสินใจสงบศึกกับปรัสเซีย เมื่อวันที่ ๒๘มกราคม ค.ศ. ๑๘๗๑ แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปารีส และได้มีการจัดตั้งคอมมูนแห่งปารีส (Commune of Paris) ซึ่งเป็นรัฐบาลส่วนท้องถิ่นขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๘๗๑ เพื่อผนึกกำลังของชาวปารีสในการต่อต้านการทำสนธิสัญญาสงบศึกของรัฐบาลกลางที่จัดทำขึ้นหลังจากสงครามยุติและวางรูปแบบการบริหารปกครองตนเอง นายกรัฐมนตรีอาดอล์ฟ ตีเย (Adolphe Thiers) ได้ส่งทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรงและการต่อสู้ระหว่างทหารรัฐบาลกลางกับกองกำลังป้องกันชาติเริ่มขึ้นในเช้าวันที่ ๑๘ มีนาคม และยุติลงเมื่อวันที่ ๒๘พฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๗๑ด้วยความพ่ายแพ้ของคอมมูนแห่งปารีส อย่างไรก็ตาม เรื่องราวการต่อสู้และการจัดตั้งระบบการปกครองตนเองของคอมมูนแห่งปารีสก็กลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่นักปฏิวัติและปัญญาชนฝ่ายซ้าย คาร์ล มากซ์ (Karl Marx) กล่าวว่าคอมมูนแห่งปารีสคือการจัดตั้งรัฐของชนชั้นกรรมาชีพรัฐแรกขึ้นในประวัติศาสตร์และบทเรียนของความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นเป็นแนวทางของการเคลื่อนไหวปฏิวัติครั้งใหม่ที่จะทำให้ชนชั้นกรรมาชีพมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดและสมบูรณ์ นอกจากนี้ ในด้านของปรัสเซีย สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ทำให้บิสมาร์คสามารถประกาศสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน(German Empire) ได้สำเร็จ ณพระราชวังแวร์ซายเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ค.ศ. ๑๘๗๑และยังได้ครอบครองแคว้นอัลซาซ-ลอร์แรน (Alsace-Lorraine) ที่อุดมด้วยแร่ธาตุอีกด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการแก้แค้นและความพยายามกอบกู้เกียรติภูมิของฝรั่งเศส บิสมาร์คจึงได้สร้างระบบบิสมาร์ค (Bismarckian System) หรือระบบการผูกมิตรและนโยบายการต่างประเทศที่สามารถสกัดกั้นฝรั่งเศสไม่ให้มีพันธมิตรและต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นระยะเวลาอันยาวนาน อย่างไรก็ดี หลังจากบิสมาร์คสิ้นอำนาจใน ค.ศ. ๑๘๙๐ ฝรั่งเศสก็ได้ทำความตกลงฝรั่งเศส-รัสเซีย (Franco-Russian Entente) ใน ค.ศ. ๑๘๙๔ นับว่ารัสเซีย เป็นมิตรประเทศแรกของฝรั่งเศสที่มีสนธิสัญญาผูกมัดต่อกัน ต่อมา ฝรั่งเศสก็ได้ทำความตกลงฉันมิตร(Entente Cordiale) กับอังกฤษใน ค.ศ. ๑๙๐๔ และนำไปสู่การสถาปนาความตกลงไตรภาคี(Triple Entente) ระหว่างฝรั่งเศส รัสเซีย และอังกฤษใน ค.ศ. ๑๙๐๙ ซึ่งเป็นค่ายมหาอำนาจที่ผนึกกำลังกันต่อสู้กับฝ่ายเยอรมนี ในสงครามโลกครั้งที่ ๑
ในสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๓ (ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๙๔๐) ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองซึ่งคุกคามความมั่นคงของสาธารณรัฐที่ ๓ หลายครั้งเช่น เหตุการณ์เรื่องบูลองเช (Boulanger Affair ค.ศ. ๑๘๘๙) ซึ่งกลุ่มฝ่ายขวาและกลุ่มสาธารณรัฐนิยมหัวรุนแรงสนับสนุนให้ชอร์ช บูลองเช (Georges Boulanger)ก่อรัฐประหารแต่ล้มเหลว กรณีือ้อฉาวเรื่องคลองปานามา (Panama Scandal) ซึ่งนักการเมืองจำนวนมากและรัฐมนตรีหลายคนถูกกล่าวหาพัวพันการรับสินบนและปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการล้มละลายของบริษัทขุดคลองปานามาในโครงการขุดคลองปานามา แต่เหตุการณ์เรื่องเดรฟุส (Dreyfus Affair) ที่เกิดขึ้นระหว่างค.ศ. ๑๘๙๔-๑๙๐๖ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่ระบอบการปกครองสาธารณรัฐมากที่สุด โดยร้อยเอก อัลเฟรด เดรฟุส(Alfred Dreyfus) นายทหารประจำกรมเสนาธิการเชื้อสายยิวถูกจับด้วยข้อกล่าวหาว่าขายความลับทางการทหารให้แก่เยอรมนี เขาถูกศาลทหารจำคุกตลอดชีวิตและถูกสั่งไปอยู่ที่เกาะเดวิลส์ (Devilûs) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นขุมนรกของนักโทษ คดีเดรฟุสเป็นที่สนใจของสาธารณชนเป็นอันมาก ในระยะแรก ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากปักใจเชื่อว่าเขาทรยศต่อชาติและเรียกร้องให้ลงโทษประหารชีวิต ทั้งขบวนการต่อต้านชาวยิวในฝรั่งเศสก็ก่อตัวขึ้น แต่ต่อมาเป็นที่ประจักษ์มากขึ้นว่าคดีนี้มีเงื่อนงำและเดรฟุสถูกกองทัพปรักปรำและคำตัดสินที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการโต้ แย้งทั้งยังขัดขวางกระบวนการยุติธรรม เหตุการณ์เรื่องเดรฟุสจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองและสังคม เพราะพวกที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์ของระบอบสาธารณรัฐเห็นว่า กฎหมายต้องให้ความเสมอภาคและยุติธรรมแก่ทุกคนและเรียกร้องให้มีการพิจารณาคดีใหม่ แต่ศาสนจักรและกองทัพต่อต้านเพราะเห็นว่ากลุ่มเดรฟุสมุ่งทำลายเกียรติภูมิของประเทศและกองทัพ ทั้งยังทำให้ระบอบสาธารณรัฐตกอยู่ในห้วงอันตราย เป็นที่เชื่อกันว่านายทหารบางคนและกลุ่มขบวนการปฏิกิิรยาฝรั่งเศส(Action Fran“aise) ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาที่เป็นพวกนิยมกษัตริย์ (royalist)และต่อต้านยิว พยายามที่จะล้มล้างระบอบการปกครองสาธารณรัฐเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันทหาร และรื้อฟื้นระบอบปรมิตาญาสิทธิราชย์ (DemocraticMonarchy) ขณะเดียวกัน พวกสาธารณรัฐนิยมก็ร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นในการพิทักษ์ระบอบการปกครองนี้ โดยยึดหลักการและอุดมการณ์ของสาธารณรัฐที่ให้ความเสมอภาคทางกฎหมายแก่ทุกคน เมื่อคดีเดรฟุสยุติลงใน ค.ศ. ๑๙๐๖ โดยศาลตัดสินให้เขาบริสุทธิ์ ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐของฝรั่งเศสก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเป็นอุทาหรณ์ให้แก่พวกสาธารณรัฐนิยมคิดเพิ่มอำนาจแก่ฝ่ายบริหารและลดอำนาจของกองทัพซึ่งต่อมาก็ประสบความสำเร็จเมื่อมีการจัดตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๕ ใน ค.ศ. ๑๙๕๘
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับการรุกรานของฝ่ายเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) และสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕) ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ดินแดนฝรั่งเศสได้กลายเป็นสมรภูมิและถูกกองทัพเยอรมันโหมบุกตามนโยบาย “ขยี้ฝรั่งเศสให้สิ้นแรง”(to bleed France white) ซึ่งก่อให้เกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวงแก่ฝรั่งเศสทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ฝรั่งเศสซึ่งต่อมาเป็นฝ่ายชนะสงครามคิดแก้แค้นเยอรมนี ด้วยการตั้งเงื่อนไขอันเข้มงวดเพื่อลงโทษเยอรมนี อย่างรุนแรงในสนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty ofVersailles ค.ศ. ๑๙๑๙) สนธิสัญญาแวร์ซายนี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่สร้างความเคียดแค้นให้แก่ชาวเยอรมัน และต่อมาทำให้ชาวเยอรมันสนับสนุนการก้าวขึ้นมามีอำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) และพรรคนาซี(Nazi) ที่มีนโยบายต่อต้านสนธิสัญญาแวร์ซายและฟื้นฟูศักดิ์ศรีของเยอรมนี ดังนั้น ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ เยอรมนี ได้ใช้กำลังโหมโจมตีฝรั่งเศสอย่างรุนแรงในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๐ และประสบชัยชนะในยุทธการที่ฝรั่งเศส (Battle of France)กรุงปารีสถูกยึดครองได้อย่างรวดเร็วในวันที่ ๑๐ มิถุนายน รัฐบาลฝรั่งเศสต้องอพยพไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองตูร์ (Tours) ทางตอนใต้ของประเทศ ต่อมานายพลฟิลิปเปแตง (Philippe P”tain) ได้อำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ที่เมืองวิชี(Vichy)และยอมสงบศึกกับเยอรมนี ด้วยการลงนามการสงบศึก (Armistice) และยินยอมให้มหาอำนาจฝ่ายอักษะ (Axis Powers)ยึดครองประเทศได้ การพ่ายแพ้และต้องยินยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวนี้นับเป็นเรื่องอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามของฝรั่งเศสและทำให้ชาวฝรั่งเศสผู้รักชาติสนับสนุนนายพลชาร์ลอองเดร โชแซฟ มารีเดอ โกล (Charles Andre Joseph Marie de Gaulle) ผู้จัดตั้งขบวนการฝรั่งเศสเสรี(Free French Movement) ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษ ทำการต่อสู้กับเยอรมนี และมหาอำนาจฝ่ายอักษะต่อไป เดอ โกลสามารถรวบรวมขบวนการต่อต้านกลุ่มต่าง ๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยมีเขาเป็นผู้นำและนำกองกำลังฝรั่งเศสเสรีต่อต้านการโจมตีของเยอรมนี และอิตาลี ได้ในยุทธการที่บีร์ฮาเคม (Bir Hakeim)ใน ค.ศ. ๑๙๔๒ และทำให้บทบาทของกองกำลังฝรั่งเศสเป็นที่ยอมรับของฝ่ายพันธมิตร ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะสิ้นสุดลง ฝ่ายพันธมิตรก็เริ่มมีชัยชนะเป็นครั้งแรกด้วยการยกพลข้ามช่องแคบอังกฤษและขึ้นบกที่หาดนอร์มองดีในวันที่ ๖มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๔ หรือที่เรียกว่าวันดี-เดย์ (D-Day, 6th June 1944) และเริ่มปฏิบัติการรุกจนสามารถปลดปล่อยกรุงปารีสและดินแดนทางภาคเหนือจากการยึดครองของทหารเยอรมันได้
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เดอ โกลดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐบาลผสมชั่วคราว และดำเนินการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปลาย ค.ศ. ๑๙๔๕ ซึ่งจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหาร เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๖ สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๓ ก็ิส้นสุดลงโดยรัฐธรรมนูญฉบับสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๔ (Fourth French Republic) ใช้ต่อมาจนถึง ค.ศ. ๑๙๕๘ และระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๗-๑๙๕๘ มีรัฐบาลบริหารประเทศ ๒๕ ชุดและเฉลี่ยอายุของรัฐบาล ๕ เดือนถึง ๑ ปี
ใน ค.ศ. ๑๙๕๘ ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากสงครามแอลจีเรีย (Algerian War) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๔ การขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลในการแก้ปัญหาดังกล่าวทำให้ทั้งฝ่ายทหารที่รบในแอลจีเรียและฝ่ายพลเรือนในฝรั่งเศสเบื่อหน่ายต่อระบบการเมืองที่ฝ่ายรัฐบาลมิได้มีอำนาจบริหารอย่างแท้จริงและไม่มีประสิทธิภาพ ได้มีการเรียกร้องให้เดอ โกลวีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่ ๒ และอดีตประธานาธิบดีที่เคยรณรงค์ต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๔ และต้องการให้ประธานาธิบดีมีอำนาจอิสระจากรัฐสภากลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเดอ โกลเข้าบริหารประเทศ เขาได้ตั้งเงื่อนไขว่าในการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น เขาต้องมีอำนาจเต็มที่ในการบริหารเป็นเวลา๖ เดือน และรัฐบาลมีอำนาจเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ประชาชนลงประชามติโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน รัฐสภายอมรับเงื่อนไขดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง ๓๒๙ เสียงต่อ ๒๒๔ เสียง
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ใช้เวลาดำเนินการ ๔ เดือน ผ่านการลงประชามติและประกาศใช้เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๕๘ ซึ่งนับเป็นการสิ้นสุดของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๔อย่างเป็นทางการ รัฐธรรมนูญฉบับสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๕ได้จำกัดอำนาจของรัฐสภาและเพิ่มอำนาจและหน้าที่แก่ประธานาธิบดีมากขึ้นประธานาธิบดีมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๗ ปี และมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสมาชิกรัฐสภา ผู้แทนจังหวัดต่าง ๆ ผู้แทนอาณานิคมโพ้นทะเล และผู้แทนสภาท้องถิ่นเป็นผู้เลือก ประธานาธิบดีมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีเอง และมีอำนาจในการยุบสภาแห่งชาติทั้งมีอำนาจเด็ดขาดในภาวะฉุกเฉินเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ เดอ โกลได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๕ โดยได้เสียงสนับสนุนถึงร้อยละ ๗๕ ต่อมา ใน ค.ศ. ๑๙๖๒ เขาได้เสนให้แก้รัฐธรรมนูญโดยให้ประชาชนเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงแทนการเลือกตั้งทางอ้อมซึ่งชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ได้ลงประชามติเห็นชอบด้วย
ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๕๙-๑๙๖๙ ที่เดอ โกลดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเขาได้ทำให้เสถียรภาพของฝรั่งเศสทั้งภายในและภายนอกประเทศมั่นคงขึ้นฝรั่งเศสได้มอบเอกราชให้แก่แอลจีเรียตามความตกลงเอวียอง (Evian Agreement)ใน ค.ศ. ๑๙๖๒ รวมทั้งปลดปล่อยอาณานิคมโพ้นทะเลอื่น ๆ ที่เหลือให้เป็นอิสระเพื่อป้องกันปัญหาทางการเมืองและสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นกับอาณานิคมนั้น ๆขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอาณานิคมเก่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม นอกจากนี้ เดอ โกลยังดำเนินนโยบายการต่างประเทศให้ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากพันธกิจทางการเมืองระหว่างประเทศและการทหารโดยการถอนกองกำลังฝรั่งเศสออกจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization - NATO) และส่งเสริมให้ยุโรปรวมตัวกันเพื่อเป็นพลังที่สาม (The Third Force) ในการคานอำนาจระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตทั้งปรับความสัมพันธ์กับเยอรมนี ให้ดีขึ้นฝรั่งเศสยังมีบทบาทเด่นในประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (European EconomicCommunity - EEC) หรือต่อมาคือประชาคมยุโรป [(European Community - EC)และได้พัฒนาเป็นสหภาพยุโรป (European Union EU) ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๙๓] และสามารถใช้อำนาจยับยั้งอังกฤษซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งขันทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกอย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการจลาจลประท้วงของนักศึกษาในเหตุการณ์ “ฤดูใบไม้ผลิแห่งกรุงปารีส”(Paris Spring) กลาง ค.ศ. ๑๙๖๘แม้เดอ โกลจะสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้ แต่ความนิยมที่มีต่อเขาก็ลดน้อยลง
ใน ค.ศ. ๑๙๖๙ เดอ โกลได้ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากที่ล้มเหลวในการเสนอร่างกฎหมายเพื่อลิดรอนอำนาจวุฒิสภาและการกระจายอำนาจปกครองท้องถิ่นอย่างไรก็ดีทั้งชอร์ช ปงปีดู (Georges Pompidou) และชีสการ์เดสแตง (Giscard d Estaing) ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง ค.ศ. ๑๙๖๙-๑๙๗๔ และ ค.ศ. ๑๙๗๔-๑๙๘๑ ตามลำดับนั้น ต่างยึดนโยบายแนวอนุรักษนิยมและการเสริมสร้างอำนาจของฝรั่งเศสให้เป็นอิสระจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตตามแนวทางที่เดอ โกลวางไว้ ผลงานที่โดดเด่นของปงปีดูคือ การสร้างศูนย์ปงปีดู (Pompidou Centre) ซึ่งเป็นทั้งหอสมุดพิพิธภัณฑ์ และศิลปะร่วมสมัยของยุโรป
ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๘๑-๑๙๙๕ ฟรองซัว โมรีซ-มารีมิตแตร์รอง (FrancoisMaurice-Marie Mitterrand) หัวหน้าพรรคสังคมนิยมได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีติดต่อกัน ๒ สมัยเป็นเวลา ๑๔ ปี เขามีบทบาทสำคัญในการสร้างแนวร่วมระหว่างพรรคสังคมนิยมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ฝ่ายสังคมนิยมมีอำนาจในรัฐสภาติดต่อกันหลายปีงานสำคัญของมิตแตร์รองคือการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมตามแนวทางสังคมนิยมและทำให้ฝรั่งเศสมีบทบาทมากขึ้นในยุโรปทั้งผลักดันกระบวนการบูรณาการยุโรปที่จะนำไปสู่การจัดตั้งตลาดเดียวแห่งยุโรป (Single European Market) จนทำให้มีการลงนามในสนธิสัญญามาสตริกต์(Treaty of Maastricht) ในต้น ค.ศ. ๑๙๙๒ นอกจากนี้ มิตแตร์รองยังดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงและฟื้นฟูกรุงปารีสให้สวยงามและทันสมัย รวมทั้งปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) ที่มีชื่อเสียงด้วย
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๙๕ ชาก ชีรัก (Jacques Chirac)อดีตนายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคอนุรักษนิยมระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๓-๑๙๙๕ ในสมัยประธานาธิบดีมิตแตร์รองได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสืบต่อจากมิตแตร์รองซึ่งสังกัดพรรคสังคมนิยม อีก ๓ เดือนต่อมา ประธานาธิบดีชีรักก็ถูกต่อต้านและถูกประณามจากประชาคมโลกเมื่อเขาเห็นชอบกับการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่มหาสมุทรแปซิฟิกโดยไม่ยอมฟังคำประท้วงใด ๆ การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสได้สิ้นสุดลงในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๙๖ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม หลังจากที่ได้รับแรงกดดันจากนานาประเทศ ชีรักก็ยินยอมยกเลิกนโยบายการเกณฑ์ทหาร(Conscription) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปและขยายกองทัพของฝรั่งเศส
นอกจากนี้ รัฐบาลของชีรักยังต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและไม่สามารถแก้ภาวะการว่างงานที่ประชาชนร้อยละ ๑๓ ไม่มีงานทำ ทั้งชีรักถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการทุจริตในการดำเนินงานของรัฐบาล ในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๗ พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายจึงได้ชัยชนะอย่างท่วมท้น ซึ่งมีผลให้เกิดภาวะ “การอยู่ร่วมกัน” (cohabitation) ของพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ต่างกันอีกครั้งระหว่างพรรคอนุรักษนิยมกับพรรคสังคมนิยม โดยในครั้งหลังนี้ประธานาธิบดีชีรักซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมต้องเลือกีลโอแนล โชสแปง (Lionel Jospin) จากพรรคสังคมนิยมเป็นนายกรัฐมนตรีนับเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับสมัยประธานาธิบดีมิตแตร์รองระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๓-๑๙๙๕ ที่พรรคการเมืองทั้งสองต้องทำงานร่วมกัน เพียงแต่สลับตำแหน่งกันเท่านั้นฝรั่งเศสได้ปรับเปลี่ยนนโยบายจากการโอนกิจการสาธารณะและอุตสาหกรรมสำคัญ ๆให้เป็นของรัฐซึ่งเป็นนโยบายของพรรคสังคมนิยมมาเป็นการขายบริษัทต่าง ๆ ที่รัฐเป็นเจ้าของให้แก่เอกชน นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังดำเนินการทดลองนิวเคลียร์ซึ่งทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ต่อมา ในวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๙๙ สมาชิกจำนวน ๑๑ ประเทศจาก๑๕ ประเทศของสหภาพยุโรป ประกอบด้วย เยอรมนี ฝรั่งเศสอิตาลี สเปน เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส ฟินแลนด์ ออสเตรีย และไอซ์แลนด์ ได้เริ่มใช้เงินสกุลยูโร (Euro) ร่วมกัน (อีก ๔ ประเทศที่ยังไม่ใช้เงินสกุลยูโรได้แก่ กรีซ เดนมาร์ก สวีเดน และสหราชอาณาจักร) ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งของการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจและการเงินของสหภาพยุโรป และเป็นการปฏิวัติระบบเงินตราของยุโรปด้วยการประกาศใช้เงินสกุลยูโรเกิดจากการผลักดันของฝรั่งเศสและเยอรมนี ในความพยายามสร้างความแข็งแกร่งให้เงินสกุลยุโรปเพื่อแข่งขันกับเงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาและเงินสกุลเยนของญี่ปุ่น กริสตียอง นัวเย (Christian Noyer) ชาวฝรั่งเศสได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป [(EuropeanCentral Bank - ECB) ที่เปลี่ยนสถานภาพจากสถาบันการเงินยุโรป (EuropeanMonetary Institute - EMI) และเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๙๙]นัวเยในฐานะรองผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรปยังเป็น ๑ ใน ๖ ของสมาชิกสภาผู้ว่าการ(Governing Council) ของธนาคารกลางยุโรปที่ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการบริหารสูงสุดด้วย มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดและปฏิบัติตามนโยบายการเงินของสหภาพยุโรป ออกธนบัตรเงินยูโรและกำหนดจำนวนเหรียญกษาปณ์ที่ประเทศสมาชิกสามารถผลิตออกมาได้ในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการควบคุมเสถียรภาพของเงินยูโรที่จะเข้ามาแทนที่เงินสกุลเดิมของประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปในเวลา๓ ปีข้างหน้า การปฏิวัติทางด้านการเงินดังกล่าวนี้คาดกันว่านอกจากจะมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินให้แก่ยุโรปแล้ว ยังจะเพิ่มบทบาทของฝรั่งเศสในเวทีการเมืองระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ด้วย.